ประวัติ สุวิมล จตุรงคโชค
นางสาว สุวิมล จตุรงคโชค
อายุ 22
กำลังศึกษาอยู่ที่ มหาวิทยาลัย สวนสุนันทา
ชั้นปีที่ 4
คณะ นิเทศศาสตร์ สาขาวิชา วิทยุ-โทรทัศน์
มีน้อง 3 คน เป็นพี่คนโต น้องชายคนกลางและน้องสาวคนเล็ก 2 คน
เป็นคนกรุงเทพฯแต่กำเนิด
วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ตำนานเสื้อเบอร์ 7 ปีศาสแดง
หมายเลขอาจบอกถึงตำแหน่งของผู้เล่น ความดัง ความเก่ง ความหล่อ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทีมนั้นๆ จะยกสาเหตุขื้นมาพูดถึง เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เสื้อหมายเลข 7 นั้น ใช่ว่าใครจะใส่กันได้ง่ายๆ มันมีที่มาที่ไปของความป๊อปปูล่าร์ของหมายเลขนี้
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันจะต้องมีเหตุผลรองรับแน่นอนถึงทำให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจมอบเสื้อตัวนี้ให้บรรดานักเตะตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เรามาดูกันดีกว่าว่า 'ใคร' เคยใส่เสื้อหลายเลขนี้ให้กับแมนยูบ้าง
1. จอร์จ เบสต์ (1963-1974)
ชายผู้ที่ผมเกิดไม่ทันดูเขาเล่นสดๆ ในสนาม ชายผู้นี้คือซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 7 คนแรกของปีศาจแดง เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 ครั้ง และยูโรเปี้ยนคัพ 1 ครั้ง ก่อนย้ายออกจากทีมด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี และได้รับฉายาว่า 'เทพบุตรมหาภัย' ใครจินตนาการไม่ออกว่าจอร์จ เบสต์ เก่งขนาดไหน ว่างๆ ลองเข้า youtube และเสิร์ซชื่อของเขา แล้วคุณจะพบกับคำตอบนั้นแค่ปลายนิ้วคลิก คิดเอาเองแล้วกันว่า มีประโยคสุดคลาสสิกในวงการฟุตบอลวลีหนึ่งบอกเอาไว้ว่า "มาราโดนาก็ดี, เปเล่ อาจจะดีกว่า, แต่เบสต์นั้น ดีที่สุด(BEST)"
จอร์จ เบสต์ เสียชีวิตลงด้วยอายุ 59 ปี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ด้วยอาการปอดติดเชื้อ
2. ไบรอัน ร็อบสัน (1981-1994)
คนนี้ก็อีกนั่นแหละที่ผมยังเกิดไม่ทัน อาจเรียกได้ว่าเขาผู้นี้ 'ร็อบโบ้' เป็นกัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร เขาอยู่กับทีมมาถึง 13 ปี ลงเล่นไปเกือบ 500 นัด ยิงไปทั้งหมด 99 ประตู ตัวเลขสวยสดงดงามเสียจริง และคว้าแชมป์อีกนับไม่ถ้วน เขายังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของอังกฤษในสมัยนั้น โดยย้ายจากเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน มาอยู่กับทีม เมื่อปีค.ศ.1981 ด้วยค่าตัวราว 1.5 ล้านปอนด์
ไบรอัน ร็อบสัน วัย 52 ปี ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นทูตสโมสรให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3. เอริค คันโตนา (1992-1997)
และแล้วก็มาถึงคนที่ผมเกิดทันได้ดูพอดี ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ ชายคนนี้ไม่ได้มีอยู่ในนิยาย แต่เขามีอยู่จริง! เมื่อปีค.ศ.2000 เขาได้รับการโหวตจากแฟนๆ ของทีมให้เป็น 'นักฟุตบอลแห่งศตวรรษ' พวกเขาเรียกคันโตนาว่า 'เอริค เดอะ คิง' แฟนๆ เทิดทูนเขาแค่ไหน ก็คิดเอาเองแล้วกัน ขนาดวันที่เขากระโดด 'กังฟูคิก' ใส่แฟนบาลปากหมาของทีม คริสตัล พาเลซ แฟนๆ ยังไม่ว่าเขาสักคำ แถมยังสะใจอีกต่างหาก(ผมก็ด้วย) ก่อนการมาของเขา แมนยูกำลังทำผลงานได้ตกต่ำ แต่เขาขี้ม้าขาวเข้ามาเขียนเรื่องราวใหม่ทั้งหมด เพราะนอกจากจะเป็นคนยิงประตูระเบิดระเบ้อแล้ว เขายังเปิดบอลถวายพานให้เพื่อนทำประตูได้อีกด้วย จนเมื่อปีค.ศ.1997 เขาประกาศแขวนสตั้ดแบบช็อกแฟนบอล หลังพาทีมชวดแชมป์แค่ครั้งเดียวในรอบ 5 ปี
ในงานแถลงข่าวหลังเหตุการณ์กังฟูคิก กลุ่มนักข่าวพากันมารอสัมภาษณ์คันโตนา ซึ่งเขาได้เดินเข้ามานั่ง ก่อนจะพูดว่า "เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโดยนลงมาในทะเล" แล้วก็ลุกออกไปจากห้องทันที
ปัจุจบัน เอริค คันโตน่า วัย 43 ปี หันมาเอาดีทางด้านการแสดงกับภาพยนตร์เรื่อง Looking For Eric
4. เดวิด เบคแฮม (1993-2003)
10 ปีเต็มที่อยู่ในถิ่นโอล์แทรฟฟอร์ด เบคแฮมก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกใส่เบอร์ 24 ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเบอร์ 10 และเมื่อ 'ก็องโต' เลิกไป เฟอร์กูสัน เลือกให้หนุ่มเบคใส่เบอร์ 7 แทน จากนั้นเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง จุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวคือการเปิดบอลที่แม่นยำ และลูกยิงฟรีคิกที่มหัศจรรย์ ที่ยังไม่มีใครทำได้ดีเท่าจนถึงทุกวันนี้ เขาลงเล่นให้ทีม 265 นัด ยิงไป 62 ประตู คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพ 6 ครั้ง และยูฟ้า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง แต่ความเป็นซุปเปอร์สตาร์และภรรยา ทำให้เขามีปัญหากับเซอร์อเล็ก และย้ายไปค้าแข้งให้กับทีมยักษ์ใหญ่แดนกระทิงอย่าง รีล มาดริด พี่เบคนี่ยิ่งแก่ยิ่งหล่อว่าไหมครับ?
ปัจจุบัน เบคแฮม วัย 34 ปี เล่นให้กับสโมสรแอลเอ แกแลกซี่ ในเมเจอร์ ลีก ของอเมริกา
5. คริสเตียโน โรนัลโด (2003-2009)
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเขา 'ไอ้เจ็ทโด้' จอมสับสยองโลก ครั้งแรกที่เล่นให้กับยูไนเต็ด โรนัลโด อยากใส่เบอร์ 28 แต่เป็นเฟอร์กี้มีมอบเบอร์ 7 ให้ ตอนนั้นท่านเซอร์คิดอะไร ไม่มีใครรู้ แต่ในที่สุดโลกก็ต้องทึ่งกับความสามารถ และความสำเร็จของเขา นักเตะที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในโลกคนนึงในชณะนี้ เขาพาทีมกวาดแชมป์ลีก 3 ปีรวด ในปีค.ศ.2007, 2008, 2009, และแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีก่อน ก่อนที่จะย้ายไปล่าฝันกับ รีล มาดริด ในฐานะนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่เคยมีมา แฟนบอลอาจจะไม่ปลื้มกับการจากไปของเขา แต่สิ่งนึงที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่ว่า นี่คือตำนานอีกบทหนึ่งในถิ่นเร้ด เดวิลส์
ปีที่แล้วโรนัลโด้คว้ารางวัล รองเท้าทองคำ(ดาวซัลโวสูงสุด), นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟิฟโปร, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า, ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ซึ่งการันตีคุณภาพคับแก้วได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน โรนัลโด้ วัย 24 ปี มีค่าตัวแค่ 80 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง!
6. ไมเคิล โอเว่น (2009-20??)
'เบบี้ โกลล์' คือตำนานของคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูล ด้วยคาตัวที่ถูกแสนถูกเต็มที่ไม่เกิน 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แถมยังมีออพชั่น 'จ่ายเท่าที่ลง' หรือ 'จ่ายเท่าที่ยิง' อีกต่างหาก นี่เป็นอีกตัวอย่างนึงที่พิสูจน์ให้เห็นถึงสายตาอันเฉียบคาดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ที่สำคัญโอเว่นตอบแทนความไว้ใจของเซอร์ ด้วยการลงเล่นเพีลงแค่ 2 นัดแรก แต่ทำได้ถึง 2 ประตู พูดถึงโอเว่นนั้นเขาเก่งแต่เด็กและใช้ร่างกายหักโหมมาตลอด ทำให้ต้องบาดเจ็บซ้ำซาก แต่แมนยูก็ยังลงเดิมพันกับเขา เพื่อที่จะให้โอกาสได้พิสูจน์ฝีเท้าว่ายัง 'มีดีพอ' นี่อาจจะเป็น 'รถไฟขบวนสุดท้าย' ของเขาก็ได้ จึงไม่แปลกที่จะบอกว่าฤดูกาลหน้าที่จะมาถึง อาจเป็นฤดูกาลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ถ้าอาการบาดเจ็บไม่รุมเล้าและสามารถเค้นฟอร์มออกมาได้ เชื่อผมเหอะ ที่สุดแล้วมีชอยส์ให้โอเว่นเลือกเพียงแค่สองข้อ หนึ่ง-เขาอาจจะกลับมาเป็นเจ้าหนูมหัศจรรย์อีกครั้ง หรือสอง-เขาคงก้มหน้ารับสภาพและแขวดสตั๊ดไปอย่างเหงาๆ
โอเว่นจะเป็นอีกคนที่บันทึก 'ตำนาน' บทใหม่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ได้หรือไม่ โปรดติดตาม..
ถึงโอเว่นเคยอยู่ลิเวอร์พูล แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดเขา สิ่งที่โอเว่นต้องการในเวลานี้ไม่ใช่ชื่อเสียงหรือว่าเงินทอง แต่มันคือ 'โอกาส' ที่เซอร์อเล็กซ์ หยิบยื่นให้ในวัยย่าง 30 ปี มันคือของขวัญที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ
ของขวัญชิ้นนั้นมีชื่อว่า 'ฟุตบอลเพลเยอร์'
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันจะต้องมีเหตุผลรองรับแน่นอนถึงทำให้ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจมอบเสื้อตัวนี้ให้บรรดานักเตะตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน เรามาดูกันดีกว่าว่า 'ใคร' เคยใส่เสื้อหลายเลขนี้ให้กับแมนยูบ้าง
1. จอร์จ เบสต์ (1963-1974)
ชายผู้ที่ผมเกิดไม่ทันดูเขาเล่นสดๆ ในสนาม ชายผู้นี้คือซุปเปอร์สตาร์หมายเลข 7 คนแรกของปีศาจแดง เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก 1 ครั้ง และยูโรเปี้ยนคัพ 1 ครั้ง ก่อนย้ายออกจากทีมด้วยวัยเพียงแค่ 27 ปี และได้รับฉายาว่า 'เทพบุตรมหาภัย' ใครจินตนาการไม่ออกว่าจอร์จ เบสต์ เก่งขนาดไหน ว่างๆ ลองเข้า youtube และเสิร์ซชื่อของเขา แล้วคุณจะพบกับคำตอบนั้นแค่ปลายนิ้วคลิก คิดเอาเองแล้วกันว่า มีประโยคสุดคลาสสิกในวงการฟุตบอลวลีหนึ่งบอกเอาไว้ว่า "มาราโดนาก็ดี, เปเล่ อาจจะดีกว่า, แต่เบสต์นั้น ดีที่สุด(BEST)"
จอร์จ เบสต์ เสียชีวิตลงด้วยอายุ 59 ปี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ด้วยอาการปอดติดเชื้อ
2. ไบรอัน ร็อบสัน (1981-1994)
คนนี้ก็อีกนั่นแหละที่ผมยังเกิดไม่ทัน อาจเรียกได้ว่าเขาผู้นี้ 'ร็อบโบ้' เป็นกัปตันทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร เขาอยู่กับทีมมาถึง 13 ปี ลงเล่นไปเกือบ 500 นัด ยิงไปทั้งหมด 99 ประตู ตัวเลขสวยสดงดงามเสียจริง และคว้าแชมป์อีกนับไม่ถ้วน เขายังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะค่าตัวแพงที่สุดของอังกฤษในสมัยนั้น โดยย้ายจากเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน มาอยู่กับทีม เมื่อปีค.ศ.1981 ด้วยค่าตัวราว 1.5 ล้านปอนด์
ไบรอัน ร็อบสัน วัย 52 ปี ปัจจุบันทำหน้าที่เป็นทูตสโมสรให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
3. เอริค คันโตนา (1992-1997)
และแล้วก็มาถึงคนที่ผมเกิดทันได้ดูพอดี ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้วิเศษ ชายคนนี้ไม่ได้มีอยู่ในนิยาย แต่เขามีอยู่จริง! เมื่อปีค.ศ.2000 เขาได้รับการโหวตจากแฟนๆ ของทีมให้เป็น 'นักฟุตบอลแห่งศตวรรษ' พวกเขาเรียกคันโตนาว่า 'เอริค เดอะ คิง' แฟนๆ เทิดทูนเขาแค่ไหน ก็คิดเอาเองแล้วกัน ขนาดวันที่เขากระโดด 'กังฟูคิก' ใส่แฟนบาลปากหมาของทีม คริสตัล พาเลซ แฟนๆ ยังไม่ว่าเขาสักคำ แถมยังสะใจอีกต่างหาก(ผมก็ด้วย) ก่อนการมาของเขา แมนยูกำลังทำผลงานได้ตกต่ำ แต่เขาขี้ม้าขาวเข้ามาเขียนเรื่องราวใหม่ทั้งหมด เพราะนอกจากจะเป็นคนยิงประตูระเบิดระเบ้อแล้ว เขายังเปิดบอลถวายพานให้เพื่อนทำประตูได้อีกด้วย จนเมื่อปีค.ศ.1997 เขาประกาศแขวนสตั้ดแบบช็อกแฟนบอล หลังพาทีมชวดแชมป์แค่ครั้งเดียวในรอบ 5 ปี
ในงานแถลงข่าวหลังเหตุการณ์กังฟูคิก กลุ่มนักข่าวพากันมารอสัมภาษณ์คันโตนา ซึ่งเขาได้เดินเข้ามานั่ง ก่อนจะพูดว่า "เมื่อนกนางนวลบินตามเรือประมง ก็เพราะพวกมันคิดว่าปลาซาร์ดีนจะถูกโดยนลงมาในทะเล" แล้วก็ลุกออกไปจากห้องทันที
ปัจุจบัน เอริค คันโตน่า วัย 43 ปี หันมาเอาดีทางด้านการแสดงกับภาพยนตร์เรื่อง Looking For Eric
4. เดวิด เบคแฮม (1993-2003)
10 ปีเต็มที่อยู่ในถิ่นโอล์แทรฟฟอร์ด เบคแฮมก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกใส่เบอร์ 24 ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นเบอร์ 10 และเมื่อ 'ก็องโต' เลิกไป เฟอร์กูสัน เลือกให้หนุ่มเบคใส่เบอร์ 7 แทน จากนั้นเขาก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง จุดเด่นที่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวคือการเปิดบอลที่แม่นยำ และลูกยิงฟรีคิกที่มหัศจรรย์ ที่ยังไม่มีใครทำได้ดีเท่าจนถึงทุกวันนี้ เขาลงเล่นให้ทีม 265 นัด ยิงไป 62 ประตู คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพ 6 ครั้ง และยูฟ้า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ครั้ง แต่ความเป็นซุปเปอร์สตาร์และภรรยา ทำให้เขามีปัญหากับเซอร์อเล็ก และย้ายไปค้าแข้งให้กับทีมยักษ์ใหญ่แดนกระทิงอย่าง รีล มาดริด พี่เบคนี่ยิ่งแก่ยิ่งหล่อว่าไหมครับ?
ปัจจุบัน เบคแฮม วัย 34 ปี เล่นให้กับสโมสรแอลเอ แกแลกซี่ ในเมเจอร์ ลีก ของอเมริกา
5. คริสเตียโน โรนัลโด (2003-2009)
นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเขา 'ไอ้เจ็ทโด้' จอมสับสยองโลก ครั้งแรกที่เล่นให้กับยูไนเต็ด โรนัลโด อยากใส่เบอร์ 28 แต่เป็นเฟอร์กี้มีมอบเบอร์ 7 ให้ ตอนนั้นท่านเซอร์คิดอะไร ไม่มีใครรู้ แต่ในที่สุดโลกก็ต้องทึ่งกับความสามารถ และความสำเร็จของเขา นักเตะที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในโลกคนนึงในชณะนี้ เขาพาทีมกวาดแชมป์ลีก 3 ปีรวด ในปีค.ศ.2007, 2008, 2009, และแชมเปี้ยนส์ ลีก ปีก่อน ก่อนที่จะย้ายไปล่าฝันกับ รีล มาดริด ในฐานะนักเตะค่าตัวแพงที่สุดในโลกที่เคยมีมา แฟนบอลอาจจะไม่ปลื้มกับการจากไปของเขา แต่สิ่งนึงที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธแน่ว่า นี่คือตำนานอีกบทหนึ่งในถิ่นเร้ด เดวิลส์
ปีที่แล้วโรนัลโด้คว้ารางวัล รองเท้าทองคำ(ดาวซัลโวสูงสุด), นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟิฟโปร, นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของฟีฟ่า, ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ซึ่งการันตีคุณภาพคับแก้วได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน โรนัลโด้ วัย 24 ปี มีค่าตัวแค่ 80 ล้านปอนด์เท่านั้นเอง!
6. ไมเคิล โอเว่น (2009-20??)
'เบบี้ โกลล์' คือตำนานของคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูล ด้วยคาตัวที่ถูกแสนถูกเต็มที่ไม่เกิน 50,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ แถมยังมีออพชั่น 'จ่ายเท่าที่ลง' หรือ 'จ่ายเท่าที่ยิง' อีกต่างหาก นี่เป็นอีกตัวอย่างนึงที่พิสูจน์ให้เห็นถึงสายตาอันเฉียบคาดของเซอร์อเล็ก เฟอร์กูสัน ที่สำคัญโอเว่นตอบแทนความไว้ใจของเซอร์ ด้วยการลงเล่นเพีลงแค่ 2 นัดแรก แต่ทำได้ถึง 2 ประตู พูดถึงโอเว่นนั้นเขาเก่งแต่เด็กและใช้ร่างกายหักโหมมาตลอด ทำให้ต้องบาดเจ็บซ้ำซาก แต่แมนยูก็ยังลงเดิมพันกับเขา เพื่อที่จะให้โอกาสได้พิสูจน์ฝีเท้าว่ายัง 'มีดีพอ' นี่อาจจะเป็น 'รถไฟขบวนสุดท้าย' ของเขาก็ได้ จึงไม่แปลกที่จะบอกว่าฤดูกาลหน้าที่จะมาถึง อาจเป็นฤดูกาลที่สำคัญที่สุดในชีวิต ถ้าอาการบาดเจ็บไม่รุมเล้าและสามารถเค้นฟอร์มออกมาได้ เชื่อผมเหอะ ที่สุดแล้วมีชอยส์ให้โอเว่นเลือกเพียงแค่สองข้อ หนึ่ง-เขาอาจจะกลับมาเป็นเจ้าหนูมหัศจรรย์อีกครั้ง หรือสอง-เขาคงก้มหน้ารับสภาพและแขวดสตั๊ดไปอย่างเหงาๆ
โอเว่นจะเป็นอีกคนที่บันทึก 'ตำนาน' บทใหม่แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ได้หรือไม่ โปรดติดตาม..
ถึงโอเว่นเคยอยู่ลิเวอร์พูล แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดเขา สิ่งที่โอเว่นต้องการในเวลานี้ไม่ใช่ชื่อเสียงหรือว่าเงินทอง แต่มันคือ 'โอกาส' ที่เซอร์อเล็กซ์ หยิบยื่นให้ในวัยย่าง 30 ปี มันคือของขวัญที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งไหนๆ
ของขวัญชิ้นนั้นมีชื่อว่า 'ฟุตบอลเพลเยอร์'
คุณรู้จักกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดรึยัง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฟุตบอล คลับ เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1870 เมื่อพนักงานการรถไฟกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมา ซึ่งพวกเขาใช้ชื่อว่า เดอะ แลงคาเชียร์ แอนด์ ยอร์คเชียร์ เรียลเวย์ ฟุตบอล คลับ และต่อมาได้เปลี่ยนเป็น นิวตัน ฮีธ ในปี 1878 โดยพวกเขาพยายามเข้าร่วมฟุตบอลลีกถึงสองครั้งแต่ก็ล้มเหลว เพราะไม่มีสโมสรใดให้การสนับสนุน แต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับการยอมรับเมื่อฟุตบอลลีกมีการแบ่งออกเป็นสองดิวิชั่นในเวลาต่อมาไม่นาน
เกมลีกนัดแรกในประวัติศาสตร์ของ นิวตัน ฮีธ คือ ดารมพ่ายแพ้ต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-4 แต่ชัยชนะนัดแรกก็มาถึงในไม่ช้า เมื่อพวกเขาจัดการถล่มเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ไปได้ถึง 10-1 แต่หลังจากนั้นทีมกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 จาก 30 นัดเท่านั้น จนทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง แต่พวกเขาก็รอดการตกชั้นได้ หลังจากที่เอาชนะ สมอลล์ ฮีธ ไปได้ 5-2 ที่สนาม บรามอลล์เลน
แต่ในปีต่อมาทีมยังคงเล่นแย่เหมือนเดิมและต้องตกชั้นไปในที่สุด โดยแม้จะมีการยุบลีก และตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ทีมก็มีปัญหาในการเข้าร่วมลีกอีกครั้ง เนื่องจากสถานะทางการเงินที่ไม่ดีนัก ก่อนที่พวกเขาจะล้มละลายเมื่อเข้าปี 1902 โชคดีที่มีผู้อำนวยการโรงกลั่นเบียร์ที่ชื่อ จอห์น เดวี่ส์ มาลงทุนกับสโมสร ทำให้เขากลายเป็นผู้อำนวยการ และประธานสโมสรในท้ายที่สุด จากนั้นทีมก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
และอีกไม่นาน เออร์เนสต์ แมกนัลล์ ก็ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมในปี 1903 โดย แมกนัลล์ ได้นำพาไต่ขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 ได้ และจากสไตล์การเล่นที่รวดเร็ว และ สวยงาม ในฤดูกาล 1907-08 "ปีศาจแดง" ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมายังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แถมในปีถัดมาพวกเขายังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองได้อีกต่างหาก
แต่หละงจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ประสบปัญหาจนได้ เมื่อสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกิดใช้การไม่ได้ รวมถึงนักเตะบางคนก็อายุมากขึ้น ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมร่วมเมือง เพื่อขอใช้สนาม เมน โร้ด เป็นสนามเหย้า พร้อมกับแต่งตั้ง แม็ตต์ บัสบี้ เป็นผู้จัดการทีมชุดนั้น แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าชายผู้นี้แหละที่ได้สร้าง "เร้ด เดวิลส์" ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง เมื่อเขาพาทีมที่มีเด็กท้องถิ่นเป็นองค์ประกอบหลักคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1951-52 และบับจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุค บัสบี้ เบ๊บส์ อันยิ่งใหญ่
แชมป์ลีกในฤดูกาล 1955-56 ตกเป็นของพวกเขา และในฟุตบอลยุโรป บัสบี้ ก็สามารถพาทีมลุยเข้ารอบ ยูโรเปี้ยน คัพ และไปถึงรอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จก่อนที่จะตกรอบไป แต่ยังดีที่พวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งได้อีกสมัย และจะได้กลับมายุโรปใหม่ในปีหน้า แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เมื่อเครื่องบินโดยสารทีมที่ลงจอดในกรุงมิวนิค เกิดอุบัติเหตุขณะกำลังบินขึ้นฟ้า ส่งผลให้ผู้เล่นของทีม 8 รายเสียชีวิตทันที และนั่นก็เป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วโลกในขณะนั้น
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม็ตต์ บัสบี้ ได้ทำการตัดสินใจสร้างทีมขึ้นมาใหม่เพื่อสานฝันที่จะคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ให้ได้ โดยแกนนำยังเป็นนักเตะที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เครื่องบินตก รวมกับผู้เล่นจากทีมสำรอง, ทีมเยาวชน และนักเตะที่ซื้อเข้ามาใหม่ จนทีมเริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ และเมื่อฝันร้านร้ายได้ผ่านไปพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 1963 ซึ่งในฤดูกาลนั้นเองนักเตะอย่าง จอร์จ เบสต์ ,เดนนิส ลอว์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน แจ้งเกิดขึ้นมาได้สำเร็จ และดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ 2 สมัยในรอบ 3 ปีหลัง และแน่นอนเป้นหมายต่อไปของพวกเขาย่อมอยู่ที่ ยูโรเปี้ยน คัพ
จนในที่สุดความฝันของ แม็ตต์ บัสบี้ ก็เป็นจริง เมื่อ ลูกทีมของเขา ไล่ถล่มเอาชนะ เบนฟิก้า ทีมชื่อดังของเมืองฝอยทองซึ่งนำทัพมาโดย ยูเซบิโอ นักเตะชื่อก้องโลก ไปได้ที่สนาม เวมบลีย์ ด้วยสกอร์ 4-1 และคว้าแชมป์ถ้วยสโมสรใบใหญ่สุดของยุโรปไปได้อย่างงดงาม ก่อนที่ บัสบี้ จะวางมือในเวลาต่อมาซึ่งนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของทีมอีกครั้ง เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 วิลฟ์ แม็คกินเนสส์, แฟร้งค์ โอ ฟาร์เรลล์ และ ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ที่เข้ามารับงานต่อจากเซอร์บัสบี้ ต่างก็ทำผลงานได้ย่ำแย่จนทีมต้องตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในเวลาไม่นาน
ช่วงทศวรรษ 80 หลังจากที่ ยูไนเต็ด กลับมาขึ้นมาในลีกสูงสุดอีกครั้ง พวกเขาก็ยังสร้างผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ทำให้ทางเบื้องบนได้ตัดสินใจที่จะดึงตัว รอน แอ๊ตกินสัน เข้ามาคุมทีมแทนที่ของ เดฟ เซ็กซ์ตัน ในปี 1981 โดยบิ๊กรอน ได้นำนักเตะใหม่หลายคนเข้ามาสู่ทีม โดยเฉพาะในรายของ ไบรอัน ร็อบสัน กองกลางชาวอังกฤษที่เขาจ่ายเงินกว่า 1.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 105 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตัวนั้นถือเป็นการซื้อที่เป็นสถิติการย้ายทีมของเกาะอังกฤษในเวลานั้นเลย แต่หลังจากนั้น ร็อบสัน ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเล่นได้คุ้มค่าตัวทุกเพนนี แต่การเปลี่ยนแปลงในรั่ว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ยังไม่หยุดลงแค่นี้ เมื่อทางบอร์ดบริหารได้เห็นตรงกันว่า การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย นั้นไม่เพียงพอต่อสโมสรระดับนี้ ส่งผลให้ตำแหน่งผู้จัดการทีม ยูไนเต็ด เปลี่ยนมือมาจาก แอ๊ตกินสัน ไปสู่ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
งานชิ้นใหม่ของ "เฟอร์กี้" ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่มากมาย และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผู้จัดการทีมคนก่อนอย่าง แอ๊ตกินสัน ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไป แน่นอนว่าแค่แชมป์เอฟเอ คัพ อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความทะเยอทะยานและความต้องการของสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ และงานนี้ของ "เฟอร์กี้"ก็ดูท่าจะต้องพบกับความยากลำบาก เมื่อยุคนั้น ลิเวอร์พูล อริตัวฉจากของทีมกำลังครองความยิ่งใหญ่ในประเทศอยู่ โดยมี อาร์เซน่อล และ เอฟเวอร์ตัน เป็นอีกสองทีมที่พอฟัดพอเหวี่ยง
18 เดือนแรกของ เฟอร์กี้ นั้นก็ดูจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น เมื่อ ยูไนเต็ด จบซีซั่นอันดับสองของลีกในปี 1988 เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล ทีมเดียวเท่านั้น ทว่าหลังจากจุดสูงสุดครั้งนั้น ปีศาจแดง ต้องกลับมาประสบปัญหาอีกครั้ง ความพ่ายแพ้ยับเยิน 1-5 รวมถึงการพ่ายต่อเพื่อนร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเดือนพฤศจิกายน 1989 ซึ่งนั่นเป็นเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกระแสเรียกร้องให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง โดยปีนั้นจบปีด้วยอันดับ 11 ของตาราง
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกอย่างก็ดูเปลี่ยนไป และถ้าหากเรามาดูกันความสำเร็จในปัจจุบันต้องถือว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของบอร์ดปีศาจแดงที่ปล่อยให้ เฟอร์กูสัน ทำงานพิสูจน์ฝีมือต่อนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งประตูชัยของ มาร์ค โรบินส์ ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในเดือนมกราคม 1990 เปรียบเสมือนเป็นการปลุก "เร้ด เดวิลส์"ให้กลับสู่ยุคทองของสโมสรอีกครั้ง
ซึ่งแชมป์แรกของพวกเขาภายใต้การนำทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เกิดขึ้นจากการคว่ำ คริสตัล พาเลซ ในรอบชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ ศึก เอฟเอ คัพ จากนั้นในปี 1991 ถ้วยใบที่สองก็ตามมาติดๆ เมื่อ ยูไนเต็ด ปราบยักษ์ใหญ่จาก สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า ไปได้ในนัดชิงชนะเลิศศึก คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ร็อตเตอร์ดัม ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เฟอร์กี้ นั้นก็รู้ดีว่าตำแหน่งแชมป์ลีกที่เขายังทำไม่ได้นั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของทีมในเวลานั้น แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อในปี 1992 เมื่อพวกเขาถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด แซงแย่งแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย โดยที่ปีเดียวกันทีมก็มีถ้วยรางวัลปลอบใจติดมือมา 1ใบคือ ลีก คัพ
พฤศจิกายน 1992 การเข้ามาของ เอริก คันโตน่า ก็เปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของ เฟอร์กี้ ในการไล่ล่าแชมป์ ที่ปีศาจแดง รอคอยมานานถึง 26 ปี โดยทีมสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพในปี 1993 มาครองได้สำเร็จ และหลังจากวันนั้นทีมก็เปล่งประกายของการเป็นทีมฟุตบอลที่ดีสุดในประเทศอีกครั้ง เมื่อพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1994 ได้อบบต่อเนื่อง แถมยังเกือบเป็นทริปเบิ้ลแชมป์ด้วย หากไม่เพราะความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศถ้วย ลีก คัพ
แต่จากการขาด เอริก คันโตน่า ในฤดูกาลถัดมา เนื่องจากติดโทษแบนจากการไปมีเรื่องกับแฟนบอลพาเลซ ซึ่งนั้นก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการพลาดดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัยของทีม เมื่อ ยูไนเต็ด พลาดท่าในลีกต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเกมสุดท้าย และก็ต่อด้วยการพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พอถึงช่วงซัมเมอร์ปี 1995 บรรดาผอง เร้ด อาร์มี่ ก็ต้องช็อกกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ เฟอร์กี้ จัดการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ ด้วยการขายผู้เล่นชั้นดีอย่าง พอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ออกจากทีมเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วหันมาใช้งานบรรดาดาวรุ่งรุ่นใหม่ของทีมอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, สองพี่น้องเนวิลล์ ,พอล สโคลส์ และ นิคกี้ บัตท์
เรื่องนี้ที่อังกฤษมีการพูดถึงกันอย่างมากถึงการกระทำของ เฟอร์กี้ ครั้งนี้ แต่บรรดาดาวรุ่งทั้งหลายก็ช่วยลบคำสบประมาทและเสียงก่นด่าให้กับเจ้านาย ด้วยการนำปีศาจแดง ครองดับเบิ้ลแชมป์สมัยที่ 2 ได้เป็นทีมแรกของประเทศ ในปี 1997 ยูไนเต็ด ยังคงรักษาตำแหน่งทีมอันดับหนึ่งของประเทศไว้ได้ต่อไป แต่เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลพวกเขาก็ต้องพบกับการสูญเสียนักเตะคุณภาพไปอีกหนึ่งรายหลังจากที่ เอริก คันโตน่า ประกาศอำลาสังเวียนอย่างช็อกคนทั้ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดในฤดูกาลถัดมา แม้พวกเขาจะนำโด่งเป็นจ่าฝูงจนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แต่จากอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักหลายราย ส่งผลให้ อาร์เซน่อล ที่เดินหน้าคว้าชัยชนะ 10 เกมติด แซงหน้าเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปอย่างเจ็บแสบ และนอกจากนี้ไอ้ปืนใหญ่ ยังตีเสมอสถิติดับเบิ้ลแชมป์ 2สมัยได้ด้วย หลังจากเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คู่ชิงในเอฟเอ คัพไปได้สำเร็จ
1998-99 ฤดูกาลที่ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ และคาดว่าจะอยู่ในความทรงจำของชาวแฟน ปีศาจแดง ไปอีกนานเท่านาน เมื่อ เฟอร์กี้ ทุ่มเงินจำนวน 27 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2,025 ล้านบาท ในคว้า 3 ดาวเตะตัวใหม่อย่าง ดไวท์ ยอร์ค, ยาป สตัม และ เยสเปอร์ บลอมควิสต์ มาเสริมทัพ และเงินทุกเพนนีที่จ่าไปเมื่อต้นซีซั่นนั้นก็ถูกตอบแทนด้วยผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่สุดยอดสโมสรในระดับประเทศเท่านั้น เมื่อพวกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากเยอรมัน ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ พร้อมกับคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้อย่างมหัศจรรย์
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความทรงจำที่ดีของทีมไปอีกนานเท่านาน แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วโลกลูกหนังนั้นก็ไม่สามารถมาหยุดกับความสำเร็จในอดีตได้เลย ซึ่ง เฟอร์กูสัน เองก็รู้เรื่องนี้ดี ทำให้เขาเริ่มที่จะถ่ายเลือดใหม่อีกครั้ง ซึ่งแม้แต่ เดวิด เบ็คแฮม ที่เคยเป็นกำลังสำคัญของทีมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องออกจากถิ่น โอลด์แทร็ฟฟอร์ดไป สู่ รีล มาดริด
พร้อมกันนี้ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐฯ เจ้าของทีม แทมป้า เบย์ บัคคาเนียร์ส ในศึกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล ได้เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรต่อจาก มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด เจ้าของทีมคนเก่า และรวบรวมหุ้นมาสู่กำมือของตระกูลแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งการเข้ามาคุมสโมสรของตระกูล เกลเซอร์ ครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความ โกรธแค้นให้กับแฟนบอลบางส่วนมากทีเดียวขนาดที่ว่า แยกออกไปตั้งสโมสรอีกหนึ่งทีมหนึ่งเลยทีเดียว
เกมลีกนัดแรกในประวัติศาสตร์ของ นิวตัน ฮีธ คือ ดารมพ่ายแพ้ต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส 3-4 แต่ชัยชนะนัดแรกก็มาถึงในไม่ช้า เมื่อพวกเขาจัดการถล่มเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ไปได้ถึง 10-1 แต่หลังจากนั้นทีมกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง เมื่อคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 จาก 30 นัดเท่านั้น จนทำให้พวกเขาตกไปอยู่ในอับดับบ๊วยของตาราง แต่พวกเขาก็รอดการตกชั้นได้ หลังจากที่เอาชนะ สมอลล์ ฮีธ ไปได้ 5-2 ที่สนาม บรามอลล์เลน
แต่ในปีต่อมาทีมยังคงเล่นแย่เหมือนเดิมและต้องตกชั้นไปในที่สุด โดยแม้จะมีการยุบลีก และตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ทีมก็มีปัญหาในการเข้าร่วมลีกอีกครั้ง เนื่องจากสถานะทางการเงินที่ไม่ดีนัก ก่อนที่พวกเขาจะล้มละลายเมื่อเข้าปี 1902 โชคดีที่มีผู้อำนวยการโรงกลั่นเบียร์ที่ชื่อ จอห์น เดวี่ส์ มาลงทุนกับสโมสร ทำให้เขากลายเป็นผู้อำนวยการ และประธานสโมสรในท้ายที่สุด จากนั้นทีมก็เปลี่ยนชื่อมาเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
และอีกไม่นาน เออร์เนสต์ แมกนัลล์ ก็ถูกแต่งตั้งให้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนแรกของทีมในปี 1903 โดย แมกนัลล์ ได้นำพาไต่ขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 ได้ และจากสไตล์การเล่นที่รวดเร็ว และ สวยงาม ในฤดูกาล 1907-08 "ปีศาจแดง" ก็สามารถคว้าแชมป์ลีกมายังถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร แถมในปีถัดมาพวกเขายังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครองได้อีกต่างหาก
แต่หละงจากที่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ประสบปัญหาจนได้ เมื่อสนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกิดใช้การไม่ได้ รวมถึงนักเตะบางคนก็อายุมากขึ้น ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่โดยการเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมร่วมเมือง เพื่อขอใช้สนาม เมน โร้ด เป็นสนามเหย้า พร้อมกับแต่งตั้ง แม็ตต์ บัสบี้ เป็นผู้จัดการทีมชุดนั้น แต่ใครจะไปรู้ได้ว่าชายผู้นี้แหละที่ได้สร้าง "เร้ด เดวิลส์" ให้กลับขึ้นมาผงาดอีกครั้ง เมื่อเขาพาทีมที่มีเด็กท้องถิ่นเป็นองค์ประกอบหลักคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1951-52 และบับจากนั้นมันก็ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุค บัสบี้ เบ๊บส์ อันยิ่งใหญ่
แชมป์ลีกในฤดูกาล 1955-56 ตกเป็นของพวกเขา และในฟุตบอลยุโรป บัสบี้ ก็สามารถพาทีมลุยเข้ารอบ ยูโรเปี้ยน คัพ และไปถึงรอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จก่อนที่จะตกรอบไป แต่ยังดีที่พวกเขาคว้าแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งได้อีกสมัย และจะได้กลับมายุโรปใหม่ในปีหน้า แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เมื่อเครื่องบินโดยสารทีมที่ลงจอดในกรุงมิวนิค เกิดอุบัติเหตุขณะกำลังบินขึ้นฟ้า ส่งผลให้ผู้เล่นของทีม 8 รายเสียชีวิตทันที และนั่นก็เป็นโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจที่สุดในวงการกีฬาทั่วโลกในขณะนั้น
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม็ตต์ บัสบี้ ได้ทำการตัดสินใจสร้างทีมขึ้นมาใหม่เพื่อสานฝันที่จะคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ให้ได้ โดยแกนนำยังเป็นนักเตะที่รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์เครื่องบินตก รวมกับผู้เล่นจากทีมสำรอง, ทีมเยาวชน และนักเตะที่ซื้อเข้ามาใหม่ จนทีมเริ่มกลับมาแข็งแกร่งขึ้นตามลำดับ และเมื่อฝันร้านร้ายได้ผ่านไปพวกเขาก็กลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้งในถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 1963 ซึ่งในฤดูกาลนั้นเองนักเตะอย่าง จอร์จ เบสต์ ,เดนนิส ลอว์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน แจ้งเกิดขึ้นมาได้สำเร็จ และดูเหมือนช่วงนี้จะเป็นเวลาที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร เมื่อพวกเขาคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ 2 สมัยในรอบ 3 ปีหลัง และแน่นอนเป้นหมายต่อไปของพวกเขาย่อมอยู่ที่ ยูโรเปี้ยน คัพ
จนในที่สุดความฝันของ แม็ตต์ บัสบี้ ก็เป็นจริง เมื่อ ลูกทีมของเขา ไล่ถล่มเอาชนะ เบนฟิก้า ทีมชื่อดังของเมืองฝอยทองซึ่งนำทัพมาโดย ยูเซบิโอ นักเตะชื่อก้องโลก ไปได้ที่สนาม เวมบลีย์ ด้วยสกอร์ 4-1 และคว้าแชมป์ถ้วยสโมสรใบใหญ่สุดของยุโรปไปได้อย่างงดงาม ก่อนที่ บัสบี้ จะวางมือในเวลาต่อมาซึ่งนั่นดูเหมือนว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนของทีมอีกครั้ง เมื่อช่วงทศวรรษที่ 1970 วิลฟ์ แม็คกินเนสส์, แฟร้งค์ โอ ฟาร์เรลล์ และ ทอมมี่ ด็อคเคอร์ตี้ ที่เข้ามารับงานต่อจากเซอร์บัสบี้ ต่างก็ทำผลงานได้ย่ำแย่จนทีมต้องตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 ในเวลาไม่นาน
ช่วงทศวรรษ 80 หลังจากที่ ยูไนเต็ด กลับมาขึ้นมาในลีกสูงสุดอีกครั้ง พวกเขาก็ยังสร้างผลงานได้ไม่เป็นที่น่าประทับใจนัก ทำให้ทางเบื้องบนได้ตัดสินใจที่จะดึงตัว รอน แอ๊ตกินสัน เข้ามาคุมทีมแทนที่ของ เดฟ เซ็กซ์ตัน ในปี 1981 โดยบิ๊กรอน ได้นำนักเตะใหม่หลายคนเข้ามาสู่ทีม โดยเฉพาะในรายของ ไบรอัน ร็อบสัน กองกลางชาวอังกฤษที่เขาจ่ายเงินกว่า 1.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 105 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตัวนั้นถือเป็นการซื้อที่เป็นสถิติการย้ายทีมของเกาะอังกฤษในเวลานั้นเลย แต่หลังจากนั้น ร็อบสัน ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเล่นได้คุ้มค่าตัวทุกเพนนี แต่การเปลี่ยนแปลงในรั่ว โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ยังไม่หยุดลงแค่นี้ เมื่อทางบอร์ดบริหารได้เห็นตรงกันว่า การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2 สมัย นั้นไม่เพียงพอต่อสโมสรระดับนี้ ส่งผลให้ตำแหน่งผู้จัดการทีม ยูไนเต็ด เปลี่ยนมือมาจาก แอ๊ตกินสัน ไปสู่ผู้จัดการทีมคนใหม่ที่ชื่อว่า อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
งานชิ้นใหม่ของ "เฟอร์กี้" ในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เขาต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันที่มากมาย และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้ผู้จัดการทีมคนก่อนอย่าง แอ๊ตกินสัน ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไป แน่นอนว่าแค่แชมป์เอฟเอ คัพ อย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความทะเยอทะยานและความต้องการของสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ และงานนี้ของ "เฟอร์กี้"ก็ดูท่าจะต้องพบกับความยากลำบาก เมื่อยุคนั้น ลิเวอร์พูล อริตัวฉจากของทีมกำลังครองความยิ่งใหญ่ในประเทศอยู่ โดยมี อาร์เซน่อล และ เอฟเวอร์ตัน เป็นอีกสองทีมที่พอฟัดพอเหวี่ยง
18 เดือนแรกของ เฟอร์กี้ นั้นก็ดูจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น เมื่อ ยูไนเต็ด จบซีซั่นอันดับสองของลีกในปี 1988 เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล ทีมเดียวเท่านั้น ทว่าหลังจากจุดสูงสุดครั้งนั้น ปีศาจแดง ต้องกลับมาประสบปัญหาอีกครั้ง ความพ่ายแพ้ยับเยิน 1-5 รวมถึงการพ่ายต่อเพื่อนร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเดือนพฤศจิกายน 1989 ซึ่งนั่นเป็นเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดกระแสเรียกร้องให้ปลดเขาออกจากตำแหน่ง โดยปีนั้นจบปีด้วยอันดับ 11 ของตาราง
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นทุกอย่างก็ดูเปลี่ยนไป และถ้าหากเรามาดูกันความสำเร็จในปัจจุบันต้องถือว่าการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของบอร์ดปีศาจแดงที่ปล่อยให้ เฟอร์กูสัน ทำงานพิสูจน์ฝีมือต่อนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด ซึ่งประตูชัยของ มาร์ค โรบินส์ ในเกมเอฟเอ คัพ รอบ 3 ที่ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ในเดือนมกราคม 1990 เปรียบเสมือนเป็นการปลุก "เร้ด เดวิลส์"ให้กลับสู่ยุคทองของสโมสรอีกครั้ง
ซึ่งแชมป์แรกของพวกเขาภายใต้การนำทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เกิดขึ้นจากการคว่ำ คริสตัล พาเลซ ในรอบชิงชนะเลิศ นัดรีเพลย์ ศึก เอฟเอ คัพ จากนั้นในปี 1991 ถ้วยใบที่สองก็ตามมาติดๆ เมื่อ ยูไนเต็ด ปราบยักษ์ใหญ่จาก สเปน อย่าง บาร์เซโลน่า ไปได้ในนัดชิงชนะเลิศศึก คัพ วินเนอร์ส คัพ ที่ร็อตเตอร์ดัม ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม เฟอร์กี้ นั้นก็รู้ดีว่าตำแหน่งแชมป์ลีกที่เขายังทำไม่ได้นั้นเป็นเป้าหมายสูงสุดของทีมในเวลานั้น แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อในปี 1992 เมื่อพวกเขาถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด แซงแย่งแชมป์ไปแบบพลิกความคาดหมาย โดยที่ปีเดียวกันทีมก็มีถ้วยรางวัลปลอบใจติดมือมา 1ใบคือ ลีก คัพ
พฤศจิกายน 1992 การเข้ามาของ เอริก คันโตน่า ก็เปรียบเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของ เฟอร์กี้ ในการไล่ล่าแชมป์ ที่ปีศาจแดง รอคอยมานานถึง 26 ปี โดยทีมสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพในปี 1993 มาครองได้สำเร็จ และหลังจากวันนั้นทีมก็เปล่งประกายของการเป็นทีมฟุตบอลที่ดีสุดในประเทศอีกครั้ง เมื่อพวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ในปี 1994 ได้อบบต่อเนื่อง แถมยังเกือบเป็นทริปเบิ้ลแชมป์ด้วย หากไม่เพราะความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศถ้วย ลีก คัพ
แต่จากการขาด เอริก คันโตน่า ในฤดูกาลถัดมา เนื่องจากติดโทษแบนจากการไปมีเรื่องกับแฟนบอลพาเลซ ซึ่งนั้นก็ดูเหมือนจะส่งผลกระทบครั้งใหญ่ต่อการพลาดดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัยของทีม เมื่อ ยูไนเต็ด พลาดท่าในลีกต่อ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ในเกมสุดท้าย และก็ต่อด้วยการพ่ายให้กับ เอฟเวอร์ตัน ในเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในไม่กี่สัปดาห์ต่อมา พอถึงช่วงซัมเมอร์ปี 1995 บรรดาผอง เร้ด อาร์มี่ ก็ต้องช็อกกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ เฟอร์กี้ จัดการเปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่ ด้วยการขายผู้เล่นชั้นดีอย่าง พอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ออกจากทีมเวลาไล่เลี่ยกัน แล้วหันมาใช้งานบรรดาดาวรุ่งรุ่นใหม่ของทีมอย่าง เดวิด เบ็คแฮม, สองพี่น้องเนวิลล์ ,พอล สโคลส์ และ นิคกี้ บัตท์
เรื่องนี้ที่อังกฤษมีการพูดถึงกันอย่างมากถึงการกระทำของ เฟอร์กี้ ครั้งนี้ แต่บรรดาดาวรุ่งทั้งหลายก็ช่วยลบคำสบประมาทและเสียงก่นด่าให้กับเจ้านาย ด้วยการนำปีศาจแดง ครองดับเบิ้ลแชมป์สมัยที่ 2 ได้เป็นทีมแรกของประเทศ ในปี 1997 ยูไนเต็ด ยังคงรักษาตำแหน่งทีมอันดับหนึ่งของประเทศไว้ได้ต่อไป แต่เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลพวกเขาก็ต้องพบกับการสูญเสียนักเตะคุณภาพไปอีกหนึ่งรายหลังจากที่ เอริก คันโตน่า ประกาศอำลาสังเวียนอย่างช็อกคนทั้ง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดในฤดูกาลถัดมา แม้พวกเขาจะนำโด่งเป็นจ่าฝูงจนเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แต่จากอาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลักหลายราย ส่งผลให้ อาร์เซน่อล ที่เดินหน้าคว้าชัยชนะ 10 เกมติด แซงหน้าเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปอย่างเจ็บแสบ และนอกจากนี้ไอ้ปืนใหญ่ ยังตีเสมอสถิติดับเบิ้ลแชมป์ 2สมัยได้ด้วย หลังจากเอาชนะ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คู่ชิงในเอฟเอ คัพไปได้สำเร็จ
1998-99 ฤดูกาลที่ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษ และคาดว่าจะอยู่ในความทรงจำของชาวแฟน ปีศาจแดง ไปอีกนานเท่านาน เมื่อ เฟอร์กี้ ทุ่มเงินจำนวน 27 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 2,025 ล้านบาท ในคว้า 3 ดาวเตะตัวใหม่อย่าง ดไวท์ ยอร์ค, ยาป สตัม และ เยสเปอร์ บลอมควิสต์ มาเสริมทัพ และเงินทุกเพนนีที่จ่าไปเมื่อต้นซีซั่นนั้นก็ถูกตอบแทนด้วยผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมาย เมื่อ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ประกาศความยิ่งใหญ่ให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่แค่สุดยอดสโมสรในระดับประเทศเท่านั้น เมื่อพวกเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ยักษ์ใหญ่จากเยอรมัน ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บในศึก ยูโรเปี้ยน คัพ พร้อมกับคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้อย่างมหัศจรรย์
สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความทรงจำที่ดีของทีมไปอีกนานเท่านาน แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงแล้วโลกลูกหนังนั้นก็ไม่สามารถมาหยุดกับความสำเร็จในอดีตได้เลย ซึ่ง เฟอร์กูสัน เองก็รู้เรื่องนี้ดี ทำให้เขาเริ่มที่จะถ่ายเลือดใหม่อีกครั้ง ซึ่งแม้แต่ เดวิด เบ็คแฮม ที่เคยเป็นกำลังสำคัญของทีมก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องออกจากถิ่น โอลด์แทร็ฟฟอร์ดไป สู่ รีล มาดริด
พร้อมกันนี้ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เกิดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ มัลคอล์ม เกลเซอร์ มหาเศรษฐีชาวสหรัฐฯ เจ้าของทีม แทมป้า เบย์ บัคคาเนียร์ส ในศึกอเมริกันฟุตบอลเอ็นเอฟแอล ได้เข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของสโมสรต่อจาก มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด เจ้าของทีมคนเก่า และรวบรวมหุ้นมาสู่กำมือของตระกูลแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งการเข้ามาคุมสโมสรของตระกูล เกลเซอร์ ครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสร้างความ โกรธแค้นให้กับแฟนบอลบางส่วนมากทีเดียวขนาดที่ว่า แยกออกไปตั้งสโมสรอีกหนึ่งทีมหนึ่งเลยทีเดียว
สุดยอดนักเตะของแมนยูที่คุณชื่นชอบ
1. เอริค คันโตนา - คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้ นอกจาก เอริค “เดอะ คิง” ก็องโต คันโตนา ยอดนักเตะแดนน้ำหอม ที่เฟอร์กีไปคว้าตัวมาจากทีมคู่แค้น “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวแสนถูกในปี 1992 คันโตนา เปรียบประดุจเทพเจ้าและซาตานของเหล่าเรดอาร์มี่ เขาคืออัจฉริยะลูกหนังตัวจริงเสียงจริง ที่แม้แต่ รอย คีน ยังเอ่ยปากชมว่า เป็นหมายเลขหนึ่งในใจเขาคีน กล่าวชม ก็องโต ว่า “การเข้ามาของเขา เปลี่ยนรูปแบบวิธีฝึกซ้อมของพวกเรา เปลี่ยนแนวทางการเล่นของเรา เขาเปรียบเสมือน จอร์จ เบสต์ เป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ด”2. รอย คีน - คือขบถลูกหนังตัวจริงเสียงจริง เขาฉลาด, มุ่งมั่นเกินร้อย, มีสมาธิตลอดเวลาที่อยู่ในสนาม, เป็นผู้นำที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อทีม และเป็นกองกลางตัวรับระดับสุดยอดอีกคนนึงเลยทีเดียว3.ปีเตอร์ ชไมเคิล - ชไมเคิล เขาเป็นนายทวารที่ตัวใหญ่มาก แต่มักทำได้ดีเวลาเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับกองหน้าฝ่ายตรงข้าม จุดเด่นของเขาคือการหยุดลูกยิงที่ทำได้ดีมาก นอกจากนี้ยังมีการเปิดเกมที่เยี่ยมไม่แพ้ตัวทำเกมชั้นยอด เมื่อปี 2001 ชไมเคิล ได้รับการโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมของโลกของสำนักข่าวรอยเตอร์ ด้วยคะแนนเสียงมากมายกว่า 200,000 เสียง ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยมีมาก่อนทั้งในอดีตนับจนถึงปัจจุบัน4. ไบรอัน ร็อบสัน - “กัปตันกระดูกเหล็ก” ผู้เป็นทุกสิ่งผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีมผีแดง เป็นผู้บุกเบิกทีมมาด้วยกันกับ เซอร์เฟอร์กี เขาลงเตะให้ทีมเป็นระยะเวลาถึง 12 ปีเต็ม ทำหน้าที่เป็นกัปตันทีมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรแมนฯ ยูไนเต็ด ในยุค 1980 แมนฯ ยูไนเต็ด ถูกสื่อมวลชนตั้งฉายาว่า “วันแมนทีม” หมายความว่า ไบรอัน ร็อบสัน จะทำทุกอย่างเพื่อทีมเพียงคนเดียว เขายินดีลงเล่นในทุกตำแหน่งของสนาม เพื่อประโยชน์ของทีม โดยไม่มีการบ่น เป็นผู้เล่นที่มีน้ำใจนักกีฬา แข็งแกร่ง วิ่งไม่มีหยุด เป็นมืออาชีพอย่างที่สุด5.พอล สโคลส์ - เขาเป็นกองกลางตัวเล็ก ไม่ค่อยพูด มีสไตล์การเล่นเรียบง่าย ไม่หวือหวา แต่มีประสิทธิภาพสูงมาก ถูกดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย จากนั้นสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงไว้ได้ตลอด จนกระทั่งปัจจุบัน เป็นกองกลางที่มักสอดขึ้นมาทำประตูได้ตลอด มีลูกยิงไกลเป็นทีเด็ด การเข้าบอลรุนแรง เด็ดขาด เป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุอของทีมชาติอังกฤษ6. รุด ฟาน นิสเตลรอย - 6. รุด ฟาน นิสเตลรอย - ดาวยิงชาวดัตช์ที่มีช่วงเวลาในการโชว์ฝีเท้าที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไม่ยาวนานนัก แต่ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด นิสเตลรอย ได้แสดงใ7.คริสเตียโน โรนัลโด - ปีกมหาลีลาชาวโปรตุกีส ด้วยคุณภาพฝีเท้าของ โรนัลโด ที่ตอนนี้ได้ยกระดับกลายเป็นนักเตะระดับโลกไปแล้ว โรนัลโด เป็นผู้เล่นที่มีทักษะความสามารถสูงส่งมาก เป็นปีกที่ทำประตูได้ มากมายยิ่งกว่าศูนย์หน้า ซึ่งสามารถทำประตูได้จากทุกส่วนอย่างเหลือเชื่อ เท้าซ้าย-ขวา ฟรีคิก จุดโทษ และยังเล่นลูกกลางอากาศดีด้วย
Macth แห่งความประทับใจ
match แห่งความประทับใจไม่รู้ลืม ก็ต้อง นี่เลย ถ้าใครเป็นแฟนผี ตัวจริง คิดว่าหลายๆคนจะต้อง ยกให้ match นี้ แน่ๆ เลย Match ชิงชนะเลิศ UEFA Champion league ปี 1999 แมนยู เจอ บาเยิร์น เป็น ถ้วย สุดท้าย ที่ แมนยู ลุ้นจะ คว้า tripple Champ ในปีนั้น เรื่อง ละเอียด ขนาดไหน ประมาณว่า คนดู กี่ คน ใครลงเล่น มั่ง ไว้รอ ค.ห. ข้างล่างละกัน ส่วน ขอบรรยายความรู้สึก ในวันนั้น คืนนั้น คือ ตลอดทั้งเกม เกือบจะหมดเวลา แมนยู โดนนำ อยู่ 1-0 ครับ แล้ว อีกไม่กี่นาที จะหมดเวลา แมนยูได้ เตะมุม ปีเตอร์ ชไมเคิล ก็ขึ้นมา ใครต่อใคร ก็ขึ้นมา เพื่อหวังลุ้นประตู จังหวะนั้นเอง เมื่อ เจ้ายักษ์เดนส์ โหนตัวขึ้นโหม่ง บอลแฉลบ ถูก ผู้เล่น บาเยิร์น แล้วกระดอนมาเข้าทาง เฮียลิง(กิ๊กส์) ยิงอัดเรียดไปหน้าประตู ในจังหวะนั้นเอง น้าหมี (เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม) ยืนถูกจที่ถูกเวลาพอดี หวดบอลเข้าไป เป็นประตูตีเสมอ ในนาทีที่ 90 ของเกมส์ ตอนนั้น จำได้เลยดีใจ จนแหกปาก ดังลั่น บ้าน ในเวลา ตี 3 ก่าๆ จนคนทั้งบ้าน ตื่นกันหมด แม่ ก็เดินมาเคาะประตูห้อง ถามว่าเป็นไรป่าวอิอิ แต่ที่เด็ดสุด คือ ประตูชัย หลังจากนั้น ที่ โซลชา ยกเท้า จิ้มบอลเข้าไป หลังจากที่ เฮียเบคส์(Beckham) เตะมุมเข้ามา น้าหมี โหม่ง บอลเปลี่ยนทิศ บอลลอยเข้าทาง น้าลูกอม( โอเล่ กุนน่า โซลชา) จิ้มบอลเข้าไป นาทีนั้น แหกปากดังกว่าตอนแรก เล่นเอา คนทั้งบ้าน ตกใจ รีบว่งเข้ามาดูว่าเกิดไรขึ้น พอรู้ว่า ดูบอลเท่านั้นแหละ โดนด่าเลย บอกว่าดูเบาๆหน่อย พรุ่งนี้ แม่ต้องไปทำงาน แต่เช้า ไรประมาณนี้ แต่ตอนนั้น ไม่สนอะไร แล้ว แบบว่าดีใจสุดๆ อะ จำได้เลยว่า ตอนนั้น ซามูเอล คูฟฟูร์ ร้องไห้ เลยอิอิ น่าฉงฉานๆ นี่ล่ะ บรรยากาศ คร่าวๆของ match แห่งความประทับใจ ของนู๋
ข่าวที่ทำให้สาวกปีศาสแดงช็อก
หนูโด้ไปแล้ว! ทุบสธิติช็อกโลก
“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนยันรับข้อเสนอจำนวน 4 พันล้านบาท จาก เรอัลมาดริด ที่ยื่นซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกจอมสับ เรียบร้อยแล้ว โดยเหลือเพียงแค่ขั้นตอนให้นักเตะไปเจรจาเงื่อนไขส่วนตัวกับ “ราชันชุดขาว” เท่านั้น
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน ยืนยันว่า สโมสรตกลงรับข้อเสนอจาก รีลอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ ลาลีกา สเปน ที่ยื่นซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,000 ล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเหลือเพียงแค่ขั้นตอนให้นักเตะไปเจรจาเงื่อนไขส่วนตัวกับทีมดังแดนกระทิง ดุเท่านั้น
“ปีศาจแดง” แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า “ตามที่มีข้อเรียกร้องของ คริสเตียโน่ ซึ่งแสดงเจตนารมย์อีกครั้งว่า เขาต้องการย้ายทีม และหลังจากที่เราได้มีการเจรจากับตัวแทนของเขาเรียบร้อยแล้วนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้อนุญาตให้ เรอัลมาดริด เจรจากับนักเตะได้แล้ว”
พร้อมกันนี้ “ปีศาจแดง” ยังเผยว่า การเจรจาน่าจะได้ข้อสรุปภายในวันอังคารที่ 30 มิ.ย.นี้
เดลี่ เมล์ สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดี เปิดเผยภาพเที่ยวตะลุยราตรีอย่างมาดมั่นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกคนเก่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนข่าวช็อกวงการลูกหนังโลกชนิดที่สื่อทุกแขนงต่างประโคมตีข่าวใหญ่ด้วยการ ตกลงย้ายไปเรียวมาดริด ทีมยักษ์ใหญ่ในศึกลา ลีกา ลีก สเปน ด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกจำนวน 80 ล้านปอนด์ (หรือราว 4,480 ล้านบาท) หรือเป็นเงินยูโร 94 ล้านยูโร (ราว 4,512 ล้านบาท)
ทั้งนี้สื่อดังกล่าวเผยภาพ โรนัลโด้ ดาวเตะวัย 24 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงพักร้อน ได้เดินอยู่ใน เบเวอร์รี่ ฮิลล์ส ย่านเศรษฐีของสหรัฐฯ ระหว่างไปรับประทานอาหารที่มาเดโอ ภัตตาคารสุดหรู กับเพื่อนๆ ก่อนไปเที่ยวในผับไฮด์ เลาน์จ ในฮอลลีวู้ด หลังจากนั้นไปที่วิลล่า ผับ ในลอสแอนเจลีส ด้วยความสุขใจประหนึ่งเหมือนเฉลิมฉลองการย้ายต้นสังกัดล่วงหน้าก็ว่าได้
เตรียมรับค่าเหนื่อยเกือบ 9 ล้านต่อวีก
ทาง ลา ราซอน หนังสือพิมพ์ชื่อดังของแดนกระทิงดุ เปิดเผยถึงเรื่องรายได้ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มิดฟิลด์คนเก่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งตกลงที่จะย้ายไปเล่นในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ว่าจะได้รับเงินจากต้นสังกัดใหม่เรอัล มาดริด ประมาณ 9.5 ล้านยูโร ต่อปี (คิดเป็นเงินไทยราว 456 ล้านบาท)
ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวหลังจากหักภาษี โรนัลโด้ จะได้รับเงินสุทธิประมาณ 8 ล้านปอนด์ (ราว 448 ล้านบาท) หรือ 155,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 8.68 ล้านบาท) และยังได้เงินอีก 40 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสรายนี้
ชุดขาวร่วมยันยื่นซื้อโด้เรียบร้อย
“ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด มหาอำนาจลูกหนังแห่งศึก ลา ลีกา สเปน ยืนยันว่า สโมสรยื่นข้อเสนอซื้อตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกจอมสับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจาก “ปีศาจแดง” เพิ่งประกาศรับข้อเสนอที่เป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,000 ล้านบาท) ก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ
ถ้อยแถลงของทีมเมืองหลวงแดนกระทิงดุ ระบุว่า “เรอัล มาดริด ขอยืนยันว่า สโมสรได้ยื่นข้อเสนอให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อขอซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สโมสรหวังว่า จะบรรลุข้อตกลงกับตัวนักเตะภายในไม่กี่วันข้างหน้า”
ทั้งนี้ หลังจบนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปลายเดือนก่อนนั้น ปีกทีมชาติโปรตุเกส ได้บอกเพื่อนสนิทว่าต้องการหาความท้าทายใหม่ๆ บ้าง และต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างทีม “ราชันชุดขาว” ขึ้นมาใหม่ ภายใต้ประธานจอมทุ่ม ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่เพิ่งคว้าตัว กาก้า สตาร์บราซิเลียนจาก เอซี มิลาน มาร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 62 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,100 ล้านบาท)นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ร่วมกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อศึกษาวิเคราะห์มูลกิ้งกือในการใช้เป็นปุ๋ย เพราะมีแร่ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพทัสเซียม รวมอยู่มาก แต่ต้องการศึกษาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัด และจะส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีต่อไป รวมทั้งใช้ในการกำจัดขยะอินทรีย์ ซึ่งขณะนี้มีบางจังหวัดนำกิ้งกือไปช่วยในการย่อยขยะบ้างแล้ว
สำหรับกิ้งกือชนิดอื่นที่พบในไทย ได้แก่ กิ้งกือยักษ์ กิ้งกือมังกร กิ้งกือตะเข็บ กิ้งกือกระสุน กิ้งกือเหล็ก และกิ้งกือขน ซึ่งกิ้งกือแต่ละชนิดล้วนมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศที่พวกมันอาศัยอยู่ทั้งสิ้น เนื่องจากกินซากพืช ซากสัตว์ ลูกไม้ และผลไม้ที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร ทำหน้าที่เป็นเทศบาลกำจัดขยะ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารกลับคืนสู่ระบบนิเวศ ช่วยให้กล้าไม้ในป่าเจริญเติบโต ผลิดอกออกผลมาเป็นต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานแล้ว
ทั้งนี้ ศ.ดร.สมศักดิ์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหอย และเพิ่งเริ่มศึกษากิ้งกือเมื่อปี 2549 โดยได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการบีอาร์ที และก่อนหน้านี้นักวิจัยเคยค้นพบกิ้งกือชนิดใหม่ของโลกในประเทศไทยแล้ว 2 ชนิด ได้แก่ กิ้งกือหัวขาว และ กิ้งกือมังกรสีชมพู ที่ติด 1 ใน 10 อันดับการค้นพบครั้งสำคัญของโลกเมื่อปี 2551 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของกิ้งกือในประเทศไทย และจุดประกายให้คนสนใจกิ้งกือกันมากขึ้น
“ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยืนยันรับข้อเสนอจำนวน 4 พันล้านบาท จาก เรอัลมาดริด ที่ยื่นซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกจอมสับ เรียบร้อยแล้ว โดยเหลือเพียงแค่ขั้นตอนให้นักเตะไปเจรจาเงื่อนไขส่วนตัวกับ “ราชันชุดขาว” เท่านั้น
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด แชมป์ พรีเมียร์ลีก 3 สมัยซ้อน ยืนยันว่า สโมสรตกลงรับข้อเสนอจาก รีลอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่ ลาลีกา สเปน ที่ยื่นซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกทีมชาติโปรตุเกส ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,000 ล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเหลือเพียงแค่ขั้นตอนให้นักเตะไปเจรจาเงื่อนไขส่วนตัวกับทีมดังแดนกระทิง ดุเท่านั้น
“ปีศาจแดง” แถลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า “ตามที่มีข้อเรียกร้องของ คริสเตียโน่ ซึ่งแสดงเจตนารมย์อีกครั้งว่า เขาต้องการย้ายทีม และหลังจากที่เราได้มีการเจรจากับตัวแทนของเขาเรียบร้อยแล้วนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ได้อนุญาตให้ เรอัลมาดริด เจรจากับนักเตะได้แล้ว”
พร้อมกันนี้ “ปีศาจแดง” ยังเผยว่า การเจรจาน่าจะได้ข้อสรุปภายในวันอังคารที่ 30 มิ.ย.นี้
เดลี่ เมล์ สื่อชั้นนำของเมืองผู้ดี เปิดเผยภาพเที่ยวตะลุยราตรีอย่างมาดมั่นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกคนเก่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนข่าวช็อกวงการลูกหนังโลกชนิดที่สื่อทุกแขนงต่างประโคมตีข่าวใหญ่ด้วยการ ตกลงย้ายไปเรียวมาดริด ทีมยักษ์ใหญ่ในศึกลา ลีกา ลีก สเปน ด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุดในโลกจำนวน 80 ล้านปอนด์ (หรือราว 4,480 ล้านบาท) หรือเป็นเงินยูโร 94 ล้านยูโร (ราว 4,512 ล้านบาท)
ทั้งนี้สื่อดังกล่าวเผยภาพ โรนัลโด้ ดาวเตะวัย 24 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงพักร้อน ได้เดินอยู่ใน เบเวอร์รี่ ฮิลล์ส ย่านเศรษฐีของสหรัฐฯ ระหว่างไปรับประทานอาหารที่มาเดโอ ภัตตาคารสุดหรู กับเพื่อนๆ ก่อนไปเที่ยวในผับไฮด์ เลาน์จ ในฮอลลีวู้ด หลังจากนั้นไปที่วิลล่า ผับ ในลอสแอนเจลีส ด้วยความสุขใจประหนึ่งเหมือนเฉลิมฉลองการย้ายต้นสังกัดล่วงหน้าก็ว่าได้
เตรียมรับค่าเหนื่อยเกือบ 9 ล้านต่อวีก
ทาง ลา ราซอน หนังสือพิมพ์ชื่อดังของแดนกระทิงดุ เปิดเผยถึงเรื่องรายได้ของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มิดฟิลด์คนเก่งของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งตกลงที่จะย้ายไปเล่นในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ว่าจะได้รับเงินจากต้นสังกัดใหม่เรอัล มาดริด ประมาณ 9.5 ล้านยูโร ต่อปี (คิดเป็นเงินไทยราว 456 ล้านบาท)
ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวหลังจากหักภาษี โรนัลโด้ จะได้รับเงินสุทธิประมาณ 8 ล้านปอนด์ (ราว 448 ล้านบาท) หรือ 155,000 ปอนด์ ต่อสัปดาห์ (ประมาณ 8.68 ล้านบาท) และยังได้เงินอีก 40 เปอร์เซ็นต์เป็นค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสรายนี้
ชุดขาวร่วมยันยื่นซื้อโด้เรียบร้อย
“ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด มหาอำนาจลูกหนังแห่งศึก ลา ลีกา สเปน ยืนยันว่า สโมสรยื่นข้อเสนอซื้อตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ปีกจอมสับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา หลังจาก “ปีศาจแดง” เพิ่งประกาศรับข้อเสนอที่เป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,000 ล้านบาท) ก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ
ถ้อยแถลงของทีมเมืองหลวงแดนกระทิงดุ ระบุว่า “เรอัล มาดริด ขอยืนยันว่า สโมสรได้ยื่นข้อเสนอให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เพื่อขอซื้อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สโมสรหวังว่า จะบรรลุข้อตกลงกับตัวนักเตะภายในไม่กี่วันข้างหน้า”
ทั้งนี้ หลังจบนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปลายเดือนก่อนนั้น ปีกทีมชาติโปรตุเกส ได้บอกเพื่อนสนิทว่าต้องการหาความท้าทายใหม่ๆ บ้าง และต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างทีม “ราชันชุดขาว” ขึ้นมาใหม่ ภายใต้ประธานจอมทุ่ม ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ที่เพิ่งคว้าตัว กาก้า สตาร์บราซิเลียนจาก เอซี มิลาน มาร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 62 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,100 ล้านบาท)นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ร่วมกับคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เพื่อศึกษาวิเคราะห์มูลกิ้งกือในการใช้เป็นปุ๋ย เพราะมีแร่ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพทัสเซียม รวมอยู่มาก แต่ต้องการศึกษาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่ชัด และจะส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปใช้ทดแทนปุ๋ยเคมีต่อไป รวมทั้งใช้ในการกำจัดขยะอินทรีย์ ซึ่งขณะนี้มีบางจังหวัดนำกิ้งกือไปช่วยในการย่อยขยะบ้างแล้ว
สำหรับกิ้งกือชนิดอื่นที่พบในไทย ได้แก่ กิ้งกือยักษ์ กิ้งกือมังกร กิ้งกือตะเข็บ กิ้งกือกระสุน กิ้งกือเหล็ก และกิ้งกือขน ซึ่งกิ้งกือแต่ละชนิดล้วนมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศที่พวกมันอาศัยอยู่ทั้งสิ้น เนื่องจากกินซากพืช ซากสัตว์ ลูกไม้ และผลไม้ที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร ทำหน้าที่เป็นเทศบาลกำจัดขยะ แล้วแปรเปลี่ยนเป็นสารอาหารกลับคืนสู่ระบบนิเวศ ช่วยให้กล้าไม้ในป่าเจริญเติบโต ผลิดอกออกผลมาเป็นต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานแล้ว
ทั้งนี้ ศ.ดร.สมศักดิ์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านหอย และเพิ่งเริ่มศึกษากิ้งกือเมื่อปี 2549 โดยได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการบีอาร์ที และก่อนหน้านี้นักวิจัยเคยค้นพบกิ้งกือชนิดใหม่ของโลกในประเทศไทยแล้ว 2 ชนิด ได้แก่ กิ้งกือหัวขาว และ กิ้งกือมังกรสีชมพู ที่ติด 1 ใน 10 อันดับการค้นพบครั้งสำคัญของโลกเมื่อปี 2551 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของกิ้งกือในประเทศไทย และจุดประกายให้คนสนใจกิ้งกือกันมากขึ้น
ทําไมหนูถึงชอบแมนยู
วันนั้นไปนอนที่บ้านเพื่อนได้ดูถ่ายถอดสดเกมส์ฟตบอลนัดหนึ่งหนูก็ไม่รู้ว่ามันจะสนุกตรงไหนซึ่งปกติแล้วไม่เคยคิดจะดูเลยและบังเอิญเห็นช็อตๆหนึ่งซึ่งเป็นลูกที่กำลังจะเตะมองเห็นผู้ชายคนหนึ่งใส่เสื้อเบอร์7จากทางด้านหลังกล้องหันซูมตรงมาที่หน้าของนักฟุตบอลคนนั้นนู๋ตกใจมากหล่อสุดๆเป็นผู้ชายที่หล่อมากจริงๆหล่อเกินห้ามใจเห็นแล้วใจละลายเลยหันไปถามเพื่อนว่านั้นใครหรอแล้วเพื่อนก็บอกว่านักฟุตบอลคนนั้นเขาชื่อว่า “ เดวิด เบคแฮม “ อยู่ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และหลังจากนั้นมานู๋ก็เลยติดตาม ทีมฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาตลอดเพราะนักเตะที่ชื่อเดวิด เบคแฮม จนรักทีมฟุตบอลทีมนี้กับนักเตะคนนี้ที่ชื่อ “ เดวิด เบคแฮม “ ตลอดไป........
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)